“Let others play at other things. The king of games is still the game of kings.”
บทกลอนที่ถูกสลักไว้บนหินที่สนามกีฬาเมืองกิลกิต (Gilgit) บอกกล่าวได้ดีถึงความนิยม และความภาคภูมิใจแห่งเกมกีฬาที่แสดงทักษะอันเยี่ยมยอดของชนเผ่านักรบซึ่งต่อสู้บนหลังม้า
ผู้ขี่ม้าต้องทั้งควบคุมม้า และในมือยังต้องถือไม้ยาวสำหรับตีลูกบอลลูกเล็กในสนามเพื่อหาช่องทางส่งลูกบอลไปเข้าประตูของฝ่ายตรงข้าม
กีฬาโปโลเป็นกีฬาเก่าแก่ที่กำเนิดบนเส้นทางสายไหมเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว เชื่อว่าเกิดจากการจำลองการฝึกซ้อมรบของทหารม้าในยุคนั้น
ต่อมาถูกปรับมาเป็นกีฬาในยามว่างในกลุ่มชนชั้นสูงของกษัตริย์ สุลต่าน กาหลิบ ข่านในราชวงศ์เปอร์เซีย อาหรับโมกุล มองโกล และจีน แต่ละฝ่ายที่แข่งขันกันมีมากถึง 100 คน จึงได้ชื่อว่าเป็น “The game of kings”
เมื่อทหารอังกฤษเข้ามายังดินแดนในแถบนี้ จึงนำกลับไปเล่นและปรับลดจำนวนผู้เล่นแต่ละฝ่ายลง แต่ลักษณะสำคัญของผู้ขี่ม้าและเกมการเล่นยังคงรูปแบบเดิมไว้ไม่เปลี่ยนแปลง
สนามกีฬาโปโลที่กิลกิตผิดจากที่ฉันเคยเห็นทางทีวีซึ่งแข่งกันบนหญ้าเรียบเขียว ที่นี่ฝุ่นคละคลุ้งเต็มสนามเมื่อนักกีฬาขี่ม้าไล่ลูกบอล เพื่อหวดเข้าไปเต็มที่เพื่อส่งให้เพื่อนร่วมทีม จนเข้าประตูเล็กๆของฝ่ายตรงข้าม
คนดูต้องสายตาดี ไม่ต่างกับผู้เล่นจึงจะมองเห็นลูกบอล เพราะจะได้เชียร์ได้ถูกจังหวะ และคอยหลบเมื่อลูกบอลอาจจะพรวดพลาดผิดทิศทางมาทางฝั่งเรา
วันนั้นเราไม่โดนลูกบอลมาฟาดหัว แต่ก็นั่งกินฝุ่นเข้าไปเต็มที่ และในฐานะผู้ชมแปลกหน้าแปลกตาจากต่างถิ่น ดูเหมือนคนดูจะสนใจพวกเรามากกว่ากีฬามันส์ๆในสนาม


Leave a Reply