
หน้าโรงแรมยามเช้า ตื่นมาจึงพบว่าหน้าโรงแรมของเราคือแม่น้ำหอม ที่เราไปล่องเรือเมื่อวานตอนเย็นนี้เอง ยามเช้าที่นี่สวยสงบ และอากาศดี



พระราชวังเว้ สร้างปี ค.ศ.1803 ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ปี 1996 พระราชวังตั้งอยู่ริมแม่น้ำหอม ตัวพระราชวังสร้างขึ้นตามแบบบความเชื่อของจีน เนื่องจากเคยอยู่ภายใต้การปกครองของจีนร่วมพันปี อาคารบางส่วนเหลือรอดจากการต่อสู้ครั้งสำคัญระหว่างเวียดนามทั้งสองฝ่ายในสงครามเวียดนามปี ค.ศ.1968 ที่เรียกกันว่า “สงครามตรุษญวณ”



ระหว่างประตูทิศใต้กับกับกำแพงใหญ่ตรงหอธง มีปืนใหญ่เก้าทัพตั้งเรียงอยู่ 9 กระบอก โดยแต่ละกระบอกนั้นมีน้ำหนักถึง 10 ตัน ห้ากระบอกทางด้านซ้ายเป็นตัวแทนของธาตุทั้งห้า ได้แก่ โลหะ น้ำ ไม้ ไฟ และดิน ส่วนอีกสี่กระบอกทางด้านขวาเป็นตัวแทนของฤดูกาลทั้งสี่
พระราชวังเว้ พระราชวังเว้ พระราชวังเว้
พระราชวังมีพื้นที่ 5.2 ตารางกิโลเมตร มีกำแพงสร้างล้อมรอบ 3 ชั้น เนื่องจากเป็นทั้งวังและป้อมปราการ
- กำแพงด้านนอกเป็นป้อมปราการของเมืองเว้ สูง 8 เมตร มีคูน้ำล้อมรอบอยู่ด้านนอก
- กำแพงต่อมาเป็น ป้อมปราการหลวง กำแพงสูง 6 เมตร ล้อมรอบเขตพระราชวัง วัด และอุทยาน มีประตูทางเข้าออก 4 ทาง ทางเข้าที่เราเดินเข้าไป (ประตูขายตั๋ว) เคยเป็นทางเข้าเฉพาะกษัตริย์เท่านั้น แต่ปัจจุบันเปิดให้นักท่องเที่ยวเดินเข้าออกได้ทั้ง 4 ทาง
- ด้านในสุดเป็นกำแพงป้อมปราการต้องห้าม ซึ่งเป็นพื้นที่ของกษัตริย์ และครอบครัว
ราชวงศ์เหวียน ซึ่งเป็นราชวงศ์ของเมืองเว้ มีกษัตริย์ทั้งสิ้น 13 พระองค์ กษัตริย์องค์สุดท้ายชื่อ “บ่าวด๋าย” เป็นลูกบุญธรรมขององค์ที่ 12 เนื่องจากท่านเป็นกระเทยจึงไม่มีลูก ต่อมากษัตริย์บ่าวด๋ายได้ลี้ภัยไปอยู่ฝรั่งเศส และศพของพระองค์ถูกฝังอยู่ที่นั่น ไกด์เล่าอีกว่าปัจจุบันลูกหลานของกษัตริย์บ่าวด๋าย ยังอยู่ในเว้ มีอาชีพขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง
ข้อมูลจากไกด์เวียดนามพูดไทยบรรยายบนรถ
- ชาวจาม ซึ่งเป็นชาวพื้นเมืองดั้งเดิมของที่นี่ จะให้ความสำคัญกับผู้หญิง เมื่อแต่งงานจะใช้นามสกุลฝ่ายหญิง และต้องเข้ามาอยู่บ้านฝ่ายหญิง แต่ความเชื่อนี้ก็เปลี่ยนไปแล้วในปัจจุบัน เนื่องจากชาวจามดั้งเดิมลดน้อยลง
- ในด้านครอบครัวรัฐบาลส่งเสริมให้มี สามี 1 ภรรยา 1 และมีลูก 2 คน แต่ชาวเวียดนามก็อยากได้ลูกชายสำหรับสืบสกุล จึงอาจจะมีมากกว่า 2 คน ดังนั้นสำหรับคนที่รับราชการหากมีลูกมากกว่า 2 คน จะถูกปรับเงินเดือนลงมา
- รัฐบาลเริ่มส่งเสริมให้ชนเผ่ากลุ่มเล็กๆ ทั่วเวียดนามได้เข้าเรียนฟรีจนถึงมัธยมปลาย หรือดูตามฐานะของคนที่เข้าเรียน
- ชาวเวียดนามนิยมนอนกลางวัน
ชาวจาม แห่งอาณาจักรจามปา
ไกด์เล่าถึงจามปา จึงไปหาข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งจามปา เป็นกลุ่มรัฐอิสระของชาวจาม (Cham) ที่ตั้งอยู่ทั่วชายฝั่งของเวียดนามบริเวณภาคกลางและภาคใต้ ตั้งรกรากมาตั้งแต่ราวคริสต์-ศตวรรษที่ 2 จนถูกรวมเข้ากับเวียดนามเมื่อปี 1832 ชาวจามรับศาสนาฮินดูเข้ามาจากอาณาจักรฟูนัน (เขมรในเวลาต่อมา)เมื่อราวค.ศ.4 ซึ่งได้ทำให้เกิดศิลปะและวัฒนธรรมแบบฮินดูในเขตแดนนี้ แม้ว่าต่อมาในศตวรรษที่ 10 ชาวจามส่วนใหญ่จะเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลาม แต่ผู้นับถือศาสนาฮินดูยังมีอยู่ ทำให้ยังมีพิธีกรรมและเทศกาลตามประเพณีชาวฮินดูกลุ่มนี้เป็นหนึ่งในฮินดูนอกอินเดียสองกลุ่มดั้งเดิมที่หลงเหลืออยู่ในโลก โดยมีวัฒนธรรมย้อนหลังไปได้หลายพันปี ฮินดูอีกกลุ่ม คือ ฮินดูบาหลีในอินโดนีเซีย









หลังจากชมพระราชวังเว้ เราเดินทางกลับมาดานัง ระหว่างทางแวะทานอาหารกลางวันที่อ่าวลังโกซึ่งเรานั่งรถผ่านเมื่อวานนี้ โดยได้แวะชมที่เพาะเลี้ยงไข่มุก และโรงงานขายไข่มุก
เรือกระด้ง เรือกระด้ง เรือกระด้ง
เรือกระด้งฮอยอัน
หลังจากผิดหวังกับเรือมังกร ฉันก็ไม่ค่อยคาดหวังกับเรือกระด้งมากนัก แถมชื่อก็ธรรมดาๆ แต่พอได้มาเห็นและขึ้นไปนั่งกลับมีความประทับใจกว่าที่คาด ภายในแม่น้ำสายเล็กๆของหมู่บ้าน ที่น่าจะเคยเป็นวิถีชาวบ้านธรรมดา ถ้าแค่นั่งเรือกระด้งที่แม้จะแปลกกว่าเรือประเภทอื่น แต่ถ้าไม่มีการจัดการ ความตั้งใจของชาวบ้านและชุมชนที่นี่สุดท้ายก็คงเป็นแค่นั่งเรือชมวิวที่น่าเบื่อหน่าย แต่ด้วยความคึกคักของชาวบ้านที่สร้างความประทับใจตั้งแต่เริ่มด้วยการยื่นตัวแมลงที่ทำจากก้านใบไม้แสนธรรมดาเอามาส่งให้ด้วยความซื่อๆ ลีลาการพายเรือวนๆให้สนุกสนานตื่นเต้น ไปพร้อมๆกับมีการจัดให้มีเรือกลาง 2-3 จุด ให้เราได้แวะไปดูลีลาการร้องเพลงบนเรือที่หมุนไปมา ตามด้วยเพลงไทย จีน เวียดนาม ฝรั่ง ตามแต่ประเทศของกลุ่มลูกค้า วางบรรยากาศให้สงบนิ่งด้วยการหยุดถ่ายรูปคนที่เหวี่ยงแหจับปลาซึ่งรอคอยสำหรับการถ่ายรูป ทุกอย่างถูกจัดเตรียมอย่างมีแบบแผน เป็นช่วงเวลาสั้นๆ 30 นาทีที่น่าประทับใจ ยิ่งนึกเปรียบเทียบกับ การนั่งเรือคล้ายๆกันแบบนี้เพื่อชมเหยี่ยวแดงที่ขลุง จันทบุรี แล้วต้องยกนิ้วให้ เพราะของไทยแค่ลากเรือให้เราเที่ยว แล้วนั่งมองโดยที่ไม่มีการเสริมความสนุกแบบนี้ เห็นการทำงานที่นี่แล้วนึกว่าเราน่าจะเอาไปทำตามอย่างบ้าง แทนที่จะเอาไปแค่เรือกระด้งๆหมุนๆ เพราะได้ข่าวว่ามีจังหวัดหนึ่งคิดจะเอาเรือกระด้งไปทำเลียนแบบ ซึ่งจริงๆแล้วเราคิดว่ารูปแบบเรือไม่สำคัญเท่าความใส่ใจและความตั้งใจที่ได้จากชาวบ้านในช่วงเวลาสั้นๆนี้เลย



ฮอยอันเป็นมรดกโลกเมื่อปี 1999 ด้วยเหตุผลว่าเป็นตัวอย่างของเมืองท่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 15-19 ที่มีการผสมผสานศิลปะและสถาปัตยกรรมทั้งของท้องถิ่นและของต่างชาติไว้ได้อย่างมีเอกลักษณ์ และอาคารต่างๆภายในเมืองได้รับการอนุรักษ์ให้อยู่ในสภาพเดิมไว้ได้เป็นอย่างดี (วิกิพีเดีย)



บรรยากาศในฮอยอัน บรรยากาศในฮอยอัน บรรยากาศในฮอยอัน
บ้านเก่าในเขตมรดกโลกของฮอยอันจะได้รับการดูแลโดยคณะกรรมการมรดกโลก ภายในบ้านยังมีเจ้าของอาศัยอยู่ แต่ห้ามทำการตกแต่งหรือซ่อมแซมใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาต เราจึงได้เห็นความดั้งเดิมของบ้านเมือง และจินตนาการภาพความเป็นไปในอดีตได้ไม่ยาก



ภายในถนนเส้นเล็กๆของฮอยอัน ยังมีบ้านเก่าแก่และวัดจีนโบราณ เช่นบ้านเลขที่ 101 และบ้านของบุคคลสำคัญ ชื่อ บ่อ วิน ยะ ที่เป็นมือขวาของลุงโฮ หรือ โฮจิมินท์



โฮจิมินห์ เป็นบุคคลที่ชาวเวียดนามถือว่าเป็นบุคคลที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการประกาศอิสรภาพของเวียดนาม
โฮจิมินห์ หรือลุงโฮ เคยมาใช้ชีวิตที่เมืองไทยเป็นเวลา 7 ปี โดยใช้ชื่อว่าเฒ่าจิ๋น ปี 1923-1931 โดยอาศัยที่จังหวัดพิจิตร อุดรธานี และหนองคาย ซึ่งขณะนั้นท่านได้สังกัดพรรคคอมมิวนิสต์ของจีน ต่อมาหลังจากฝรั่งเศสพ่ายแพ้ที่ยุทธการเดียนเบียนฟู เวียดนามประกาศอิสรภาพ โฮจิมินห์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีของสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนามเป็นคนแรก โฮจิมินห์ได้รับการนับถือและยกย่องจากชาวเวียดนามมาจนทุกวันนี้
คนไทยมักจะเรียกคนเวียดนามว่า “คนแกว” เพราะตอนเวียดนามหนีภัยสงครามมาประเทศไทยทางเรือเมื่อร้องเรียกให้ช่วยจะพูดว่า “แกวดือ” ซึ่งแปลว่า ดึงเราหน่อย แต่คนไทยไม่เข้าใจ คิดว่าเขาบอกว่าคือคนแกว เลยเรียกชาวเวียดนามว่า คนแกว (ไกด์บอม)
อาหารหน้าตาแปลกๆ ถามชื่อมาจากพนักงาน (อาจจะผิดก็ได้ค่ะ)
แบคคูน น่าจะแบบที่คนไทยเรียกว่า บั๋นก๋วน ปากหม้อญวน แต่ไม่มีไส้ด้านใน ทานกับน้ำจิ้มหวานๆแบคไกแบว หรอย
Leave a Reply