“มันเป็นยังไงเหรอ เครื่องบินอะไร มีอะไรที่นั่น” พี่ศักดิ์เฝ้าเวียนถามตั้งแต่บอกว่า ถัดไปเราจะไปดูซากเครื่องบินบนชายหาดสีดำกัน
รถหลายคันจอดริมทาง มีคนพากันเดินไปทางชายหาดด้านใน มองจากริมถนนเห็นชายหาดอยู่ลิบๆ ดูไม่ค่อยไกลนัก ฉันก็เลยมั่นใจว่าพวกเค้าคงเดินไปดู ซากเครื่องบินที่อยู่ริมทะเล
ระหว่างเราเดิน พี่ศักดิ์ก็ยังเฝ้าถามด้วยคำถามเดิมๆ
“ก็ซากเครื่องบินไงพี่ มันมาตกบนหาดทรายสีดำ เห็นเป็นจุดที่เค้าแนะนำให้มาแวะชมกันในข้อมูลท่องเที่ยว iceland หลายๆอันที่อ่านมา”
“นั่นไง คนแวะดูเยอะแยะ ไม่ไกลหรอก ตามมา”
พวกพี่เค้าก็คงเห็นฉันตอบอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้ ก็เลยตามมา
ฉันเดินไปเรื่อยๆ ทิ้งห่างออกมา ฉันสังเกตุว่าคนที่เดินสวนกลับมาช่างตั้งหน้าตั้งตาเดิน ไม่ชิล ไม่ยิ้ม เช่นเดียวกับฝั่งที่กำลังเดินมุ่งหน้าไป
เดิน เดิน เดิน
ฉันชะเง้อมองข้างหน้าว่าอีกไม่ไกล ทางบนทรายดำ มีหินกรวดตลอดทาง ทางเรียบ ลมเริ่มพัดแรงขึ้น ฉันหันไปมองพี่ๆที่เดินตามหลัง ทิ้งระยะห่างกันมากขึ้น
เวลานานขึ้น แต่ปลายทางยังดูเหมือนไกลเท่าเดิม ตอนนั้นเองที่เริ่มคิดมาได้ว่า
“ไกลนี่หว่า“
ที่นี่น่าจะเหมาะกับช่างภาพที่หาแลนสเคปแปลกๆ ราวกับดินแดนที่ไม่ใช่ในโลกมนุษย์ แต่สำหรับนักท่องเที่ยวธรรมดาอย่างฉันเมื่อไปถึงก็ได้แค่ยืนงงๆ เดินวนหนึ่งรอบ ชะเง้อมองเข้าไปด้านในซากเครืองบิน มองหาคนให้ถ่ายรูปกับซากเครื่องบินซักรูป แล้วเดินจ้ำออกมาแบบคนที่ฉันเคยเดินสวนเมื่อขาไปฝนเริ่มตก ลมก็ยิ่งแรงขึ้น ฉันจับระยะทางจากขากลับ ได้ระยะประมาณ 4 กม. ใกล้ถึงรถ ฝนยิ่งตกหนัก แต่ก็ยังมีคนเดินมุ่งหน้าเข้าไปที่ชายหาดด้านใน ช่างเก่งกล้ากันจริงๆ เพราะลมแรงขึ้นเรื่อยๆจนตัวฉันแทบปลิว เปิดประตูรถออกมาลมพัดประตูแทบหลุด ฉันกระโดดขึ้นรถ ติ๊กถูก check point ของIceland ได้อีกแห่งสำเร็จถ้ารู้ว่าเดินไป-กลับ 8 กม. คงจะขอเว้นวรรคปล. ก่อนเข้าก็เห็นป้าย 4 กม. แต่ไม่เชื่อมัน คิดว่าเป็นป้ายเก่า จะเป็นไปได้ไงแค่จะไปดูอีซากเครื่องบิน ต้องเดินไปตั้ง 4 กม. แถมชายหาดที่มองเห็นก็ออกจะดูใกล้ๆ
แต่ตอนกลับมาคิดอีกที เป็นไปได้ไงที่มรึงไม่เชื่อป้าย

Leave a Reply