
เช้าวันนี้เราออกเดินทางไปพร้อมกับกรุุ๊ปทัวร์กันต่อเลยค่ะ ปลายทางวันนี้ไปถึงทะเลทรายที่หมู่บ้าน Merzouga เช้าวันนี้อากาศยังคงเย็นต่อเนื่องจากเมื่อคืน เพราะเราอยู่ในหุบเขา ข้างๆโรงแรมก็มีลำธารน้ำที่เพิ่มความเย็นให้ยิ่งขึ้นไปอีก หลังอาหารเช้าเราขับรถย้อนทางเดิมจาก Dades Gorge ระหว่างทางเป็นเขาสีแดง วิวทิวทัศน์สวยงามชัดเจนกว่าเมื่อวานที่เราผ่านมาตอนใกล้ค่ำแล้ว จนมาถึง Boumalne Dades ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆระหว่างหุบเขา รอบๆค่อนข้างแห้งแล้ง เพราะใกล้เขตทะเลทรายมากขึ้น ทิวเขาขนานไปรอบๆหมู่บ้านเห็นแต่ดินและหิน สีแดง มีต้นไม้ขึ้นอยู่ริมๆลำธารท่ี่ไหลผ่านหมู่บ้านจำพวกมะเดื่อ อัลมอนด์ พิชตาชิโอ ระหว่างทางมี Kasbah และ Ksour ของพวก Berber อยู่เป็นระยะๆ ถนนเส้นนี้จาก Quazazate ได้ชื่อว่า Road of 1,000 Kasbahs บางแห่งเป็น Kasbah ที่สร้างขึ้นใหม่สำหรับนักท่องเที่ยวที่มีเงิน บางแห่งก็เป็นสถานที่เก่าแก่ และนำมาปรับปรุงเป็นสถานที่เพื่อเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวชม



ก่อนอาหารกลางวันเราแวะเที่ยวชมหมู่บ้าน Tinerhir ซึ่งเป็นปากทางก่อนเข้าไปถึง Todra Gorge เป็นหมู่บ้านBerber ที่มาก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พามาซื้อพรม ตามธรรมเนียมของทัวร์ พรมที่นี่สวย สีสันจัดจ้าน ราคาก็ไม่เบาไปตามกัน และในกลุ่มของเราก็ได้ติดไม้ติดมือกันไปด้วย
Todra Gorge นับเป็นเขตโอเอซิสใหญ่ของทะเลทรายแถวๆนี้ เพราะอากาศค่อนข้างร่มรื่นจากลำธารที่ไหลผ่านหุบเขา พอเลยออกมาหน่อยก็ชุ่มชื่นไปด้วยกลุ่มต้นปาล์มที่ขึ้นหนาแน่น ที่จริงแล้วหลังจากพ้นเขาสูงเมื่อวานนี้ก็ถือว่าเราเข้าเขตทะเลทรายกันแล้ว เพียงแต่ภาพในใจ และความเข้าใจของเราทะเลทรายก็คงจะเห็นแต่ทรายเหมือนภาพที่เคยเห็นตามนิตยสาร ทีวี แต่ที่จริงทะเลทรายถือเป็นเขตแห้งแล้ง ช่วงขอบๆ อาจจะเป็นหิน และมีหมู่บ้านหรือเมืองเป็นระยะ เพราะมีแม่น้ำลำธารไหลผ่าน ถือเป็นโอเอซิสท่ามกลางความแห้งแล้ง ชาวทะเลทรายก็จะมีการสร้างบ้าน kasbah หรือป้อมปราการ ksar ระหว่างเส้นทางการเดินทางค้าขาย
จาก Todra Gorge ใช้เวลานั่งรถอีกเกือบ 3 ชั่วโมงจะถึง Merzouga จากหมู่บ้านนี้เราจะเห็นเนินทรายสูงใหญ่ตระหง่านอยู่ตรงหน้าเหมือนภูเขาลูกใหญ่ยิ่งสร้างความตื่นเต้นให้กับพวกเรามาก แต่ช่วงหน้าหนาวอย่างนี้ ฟ้ามืดเร็วมาก เรามาถึงประมาณ 6 โมงเย็น ไม่ทันได้เห็นพระอาทิตย์ตกดิน ต้องขี่อูฐเข้าไปในทะเลทรายท่ามกลางความมืด น่าเสียดายจริงๆ ฉันโทษซะเลยว่าเป็นเพราะอาลี คนขับรถ ลีลาท่ามาก แถมไม่ควบคุมเวลาให้ดี ทั้งทีี่วันนี้เราแวะแต่ละที่ใช้เวลาไม่นาน และไม่มีใครที่ทำให้เสียเวลา ระหว่างทางอาลียังแวะปั้ม เข้าห้องน้ำ จอดรถโทรศัพท์ ฉันอยากจะบ้าตายขึ้นไปอีก เมื่อป้าโมร็อคโคจากปารีส ดันไปเข้าอกเข้าใจ คนขับรถไปซะนั่น สงสัยจะเห็นว่าเป็นคนบ้านเดียวกัน ลูกทัวร์ที่เหลือทั้งคันก็เลยได้แต่ปล่อยเลยตามเลย



เมื่อมาถึงเต้นท์กลางทะเลทราย Erg Chebbi เรานั่งรอดินเนอร์กันอีกพักใหญ่ ระหว่างนั้นเจ้าบ้าน /เจ้าของเต้นท์ ก็เอากลอง ฉิ่ง ฉับมาร้อง เล่นร่วมกับพวกเรา จนสองทุ่มกว่าๆ ถึงได้ทานอาหารท่ามกลางแสงจันทร์ที่เพิ่งจะโผล่พ้นขอบฟ้าให้ความสว่างตอนกลางคืน
เพราะความมืดมิดในทะเลทราย แสงจากดวงจันทร์กลมโตให้ความสว่าง สะท้อนกับทรายรอบๆตัวเราให้อารมณ์ความรู้สึกแสนจะโรเมนติก ฉันยังนั่งนึกเสียดาย ในเมื่อเรามาไม่ทันพระอาทิตย์ตกดินแล้ว น่าจะรอให้มีแสงจันทร์ส่องนำทางเราอีกซักหน่อย แล้วค่อยขี่อูฐเข้ามา น่าจะโรแมนติกดีไม่น้อย
หลังอาหารเราเดินขึ้นไปบนเนินทรายสูง ด้านหลังเต้นท์ที่พักของเรา ฉันไม่มีแรงเดินขึ้นไปจนสูงสุดๆ เหมือนเพื่อนๆ คนอื่น เพราะยิ่งเดินมันจะยิ่งอยากอ้วกคงเพราะอาการค้างจากเมารถที่นั่งมาทั้งวัน ก็เลยขอนั่งรอกลางทางซึมซับบรรยากาศเย็นๆ เงียบๆ มองดูลอนคลื่นของทะเลทรายสีทองที่สะท้อนแสงจันทร์ กับดวงจันทร์กลมโตบนท้องฟ้า แหม ถ้ายิ่งมีเจ้าชายขี่อูฐอยู่ข้างๆ จะดีขนาดไหนเนี่ย ..เพ้อเจ้อไปใหญ่แล้วเรา .. นับเป็นอีกหนึ่งในประสบการณ์การท่องเที่ยวที่แสนประทับใจและไม่ลืมเลือนเลย สำหรับทริปนี้อารมณ์ตรงนี้มันสุดยอดที่สุดเชียวค่ะ
เราตื่นนอนและออกกันแต่เช้า เพื่อเดินทางกลับมาที่หมู่บ้าน Merzouga แสงอาทิตย์ในแต่ละช่วงเวลาเปลี่ยนสีของทะเลทรายให้เราได้เห็นหลากหลายสีสันของทะเลทรายที่งดงามต่างกัน ลอนคลื่นและเนินทราย ที่เราขึ้นๆลงๆ พอพ้นเนินสูงด้านหน้า ก็ได้เห็นความงามใหม่ที่รอเราอยู่ในทุกระยะทาง



เงาที่สะท้อนลงบนผืนทราย เหมือนได้เห็นเงาของการเดินทางของชาวทะเลทรายที่ฝ่าฟันธรรมชาติสีทองสวย แต่โหดร้ายจากความร้อนระอุในเวลากลางวัน และหนาวเหน็บในยามคำ่คืน คนทะเลทรายเดินทางฝากรอยเท้าไว้เพียงชั่วครู่ รอให้ทรายพัดมากลบเกลื่อนร่องรอยการเดินทาง อาศัยเพียงลม ดวงดาว แสงอาทิตย์ แสงจันทร์ และความรักผูกพันในทะเลทรายเพื่อนำทางให้พวกเขากลับมายังที่ทะเลทรายสวยงามแห่งนี้
ฉันเคยได้เที่ยวทะเลทราย ขี่อูฐมาบ้างแล้ว แต่ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าได้มาสัมผัสทะเลทรายจริงๆ เพราะได้ออกไปนอนดูดาว ชมจันทร์กลางทะเลทราย เห็นสีของทรายที่เปลี่ยนแปลงท่ามกลางแสงจันทร์ และแสงอาทิตย์ยามเช้า จึงได้รู้ว่าทะเลทรายมีเสน่ห์ที่น่าหลงใหล และอยากใช้เวลากับที่นี่ให้นานซักหน่อย คงได้แต่รอโอกาส และความรู้สึกรักในธรรมชาติแห่งทะเลทราย จะได้พาให้ฉันหาโอกาสมาสัมผัสทะเลทรายอีกครั้ง
ฉันและเพื่อนแยกทางกับกลุ่มทัวร์ที่เดินทางมาด้วยกัน 3 วัน 2 คืน ที่เมือง Rissani เพราะเราสองคนจะนั่งรถทัวร์ต่อไปเมือง Fez ส่วนที่เหลือเดินทางกลับมาราเกซในเส้นทางเดิมที่เรามา
[nggallery id=9]
เพิ่งเข้ามาอ่าน เราว่าเขียนสนุกและมีสาระกว่าหนังสือท่องเที่ยวตามแผง จะตั้งตารอเที่ยวเมือง fes นะคะ อีกเมืองในฝันเลยคะ 😉