ประวัติความเป็นมาและร่องรอยทางประวัติศาสตร์ที่เคียงคู่กับประวัติศาสตร์ชาติไทย ทำให้ฉันรู้ว่าไม่เพียงมัณฑะเลย์ที่เป็นเมืองสำคัญและน่าสนใจ ซึ่งว่าไปแล้วมัณฑะเลย์ก็ถือว่าเป็นเมืองใหม่ที่สุดในแถบนี้ เป็นเมืองสุดท้ายที่กษัตริย์ใช้เวลาปกครองไม่นานแต่มีความสำคัญในแง่ของพุทธศาสนา และการเปลี่ยนผ่านไปสู่การนำประเทศพม่าเข้าสู่ยุคเป็นเมืองอาณานิคม
แต่ถ้าว่ากันถึงความเก่าแก่กว่านั้นยังมีเมืองรอบๆและร่องรอยที่น่าสนใจให้ไปเยี่ยมชม กับการเที่ยวเมืองเก่า อมรปุระ อังวะ และสะกาย ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมัณฑะเลย์เลย คิดๆไปแล้วเมืองต่างๆเหล่านี้ก็คงคล้ายกับอยุธยา สุโขทัย ของไทยที่เป็นเมืองเก่าก่อนกรุงเทพ เมื่อสอบถามค่ารถซึ่งฉันเลือกเป็นรถสามล้อหรือตุ๊กตุ๊ก ก็คิดว่าราคาไม่แพงเกินไปสำหรับการไปเที่ยวชมแบบ hopping ไปเรื่อยๆ ก็เลยนัดกับคนขับสามล้อมารับที่ที่พักตอน 9 โมง เพื่อไปชมเมืองเก่านั้น เผอิญโชคดีที่มีเพื่อนร่วมห้องสนใจไปเที่ยวด้วยกัน ก็เลยประหยัดค่ารถไปได้ครึ่งหนึ่งและมีเพื่อนใหม่ไปเที่ยวด้วย
อ่านเรื่องการเที่ยวมัณฑะเลย์ 4 วัน 3 คืนและโปรแกรมเดินทางของฉันได้ที่ เที่ยวมัณฑะเลย์ด้วยตัวเอง ย้อนรอยความรุ่งเรืองของพม่า
In This Post
การเดินทาง
ค่าเหมารถสามล้อจากมัณฑะเลย์ พร้อมคนขับทั้งวันอยู่ที่ราคา 35,000 จ๊าด การใช้รถสามล้อมีข้อดีคือไม่ต้องไปเปลี่ยนขึ้นเรือแล้วเช่ารถม้าเพื่อเที่ยวเมืองอังวะ
แต่ถ้ามาด้วยรถแท็กซี่ รถจะพามาส่งที่ท่าเรือเพื่อขึ้นเรือข้ามฟากแม่น้ำ Myitnge ค่าเรือคนละ 1000 จ๊าด จากนั้นมาขึ้นรถม้าราคาคนละ 8,000 -10,000 จ๊าด (ตรวจสอบราคาก่อน) ส่วนใหญ่นั่งคันละ 2 คน รถม้าจะพาเราเที่ยวในเขตเมืองเก่าอังวะ ในเวลา 2 ชั่วโมง แล้วพากลับมาส่งที่ท่าเรือ นั่งรถม้าเที่ยวก็ได้บรรยากาศย้อนยุคกลับไปเมื่อ 500-600 ปีก่อนดี

ค่าเข้าชม
บัตรเข้าชม Mandalay Archeological Zone Fee Card ราคา 10,000 จ๊าด สามารถใช้ได้ 5 วัน เข้าสถานที่สำคัญต่างๆ ทั้งมัณฑะเลย์ อมรปุระ สะกาย และอังวะ บัตรนี้สามารถซื้อได้ที่ห้องจำหน่ายบัตรเข้าชมทุกแห่งที่ใช้บัตรนี้
Temple Hopping
เราเริ่มออกเที่ยวเวลา 9 โมงเช้า คนขับรถมารับตรงเวลา แต่ว่ายังเช้าเกินไปสำหรับโปรแกรมแรกของเขา จึงพาเราไปเที่ยววัดมหาซันดามุนี (Maha Sundar Muni) ที่อยู่ระหว่างทางไปเมืองอมรปุระซึ่งเป็นสถานที่แรกในโปรแกรมที่จะไปเที่ยววันนี้ เพราะต้องไปดูขบวนพระที่วัดมหากันดายน (Mahagandayon Monastery) ชมวัดพุทธที่มีชื่อเสียงของนิกายเถรวาท ซึ่งมีพระสงฆ์มากกว่าพันรูปอาศัยและศึกษาพระธรรมที่แห่งนี้

จากนั้นก็ออกจากถนนใหญ่เข้าสู่เส้นทางสายเล็กๆ คล้ายพาเราเดินทางย้อนเวลา เมื่อรถสามล้อพาเราวิ่งไปบนถนนลูกรังที่คละคลุ้งด้วยฝุ่นที่พัดปลิวเข้ามาในรถ ระหว่างสวนกับม้าเทียมเกวียนในหมู่บ้าน ผ่านบ้านเรือนที่เป็นเรือนไม้ดั้งเดิม ฝาผนังบ้านใช้ไม้ไผ่จักสาน ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ ทุ่งนากว้างที่เขียวอุดมสมบูรณ์ เรากำลังเดินทางสู่เมืองอังวะซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงเก่าของพม่ามาหลายครั้งระหว่างปี 1365-842 ผ่านการสู้รบและถูกปล้นสะดม ฟื้นฟูมาหลายครั้ง แต่ถูกทิ้งร้างอย่างสิ้นเชิงเมื่อเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 1839 เหลือเพียงซากปรักหักพัง กำแพงเมือง วัดวาอาราม หอสังเกตุการณ์ให้ระลึกถึง และเป็นความทรงจำอันรุ่งเรืองในอดีต
จากนั้นออกสู่ถนนใหญ่อีกครั้ง แล้วข้ามสะพานใหญ่ไปยังเมืองสะกาย (Sagaing)ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำอิระวดีตรงข้ามอังวะและทางตะวันตกเฉียงใต้ของมัณฑะเลย์ประมาณ 21 กม. เป็นเมืองหลวงเก่าอีกแห่งหนึ่งของพม่า มีเจดีย์สีขาวเงินและทองบนเนินเขา มีศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงคือถ้ำ U Min Thonze Temple ชมวิวเมืองสะกายที่จะเห็นเหล่าเจดีย์สีทองกระจายอยู่ทั่วทั้งเมืองที่วัด Soon U Ponya Shin Paya ปิดท้ายวันโดยไปชมพระอาทิตย์ตกดินที่สะพานไม้ U Bein สะพานไม้สักที่ยาวที่สุดในโลก
ทั้งฉันและแอนนี่ เพื่อนใหม่ชาวออสเตรเลีย ปล่อยให้เพนเท่ คนขับรถพาไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้ว่ากล่าว หรือระบุที่ไหนเป็นพิเศษ จอดตรงไหน ก็ลงเดินไปเที่ยวชม ถ่ายรูป เราแวะชมวัด เจดีย์กว่า 10 แห่ง ซึ่งแต่ละแห่งก็สวยงามแตกต่างและน่าสนใจ
สถานที่น่าสนใจในอมรปุระ,อังวะและสะกาย
- Maha Sandar Muni Pagoda

- Mahagandayon Monastery

- Le Htat Gyi Paya

- Khat Thin Pagoda

- Bagaya Monastery

- Wingaba Monastery and Myint Mo Taung Pagoda
สร้างปี 1715-1730 วัดนี้จะพบชาวพม่าท้องถิ่นและวัยรุ่นเยอะที่สุด
- Yadana Hsemee Pagoda

- Nanmyin Watch Tower

- Maha Aungmye Bonzan Monastery

- Soon U Ponya Shin Paya

- U Min Thonze Temple

- U Bein Bridge

ฉันคิดว่านี่เป็นเพียงส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับระหว่างทางที่ยังได้เห็นวัดและเจดีย์อื่นๆอีกมากมายที่ถูกทิ้งร้างบ้าง บางแห่งก็มีคนไปเที่ยวบ้าง บางแห่งยังใช้งานอยู่ ภาพยอดเจดีย์ที่โผล่ขึ้นมาทั่วตัวเมืองสะกายท่ามกลางต้นไม้หนาทึบ และลดหลั่นมากมายตามเนินเขา น่าจะทำให้ผู้ที่เดินทางผ่านมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันนี้ ต้องรู้สึกได้เช่นเดียวกับฉันว่าบ้านเมืองแห่งนี้รุ่งเรืองด้วยวัฒนธรรม ความมีศิลปะ มากมายด้วยงานช่างฝีมือ เชื่อได้ว่าผู้คนในเมืองต่างรักษาความดี จิตใจดี ชอบทำบุญ

แม้เวลา การปกครองจะเปลี่ยนไป แต่ศรัทธานั้นยังไม่เปลี่ยนแปลง คงให้ความเคารพต่อสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทุกแห่งแม้จะถูกทิ้งร้างไปแล้ว แต่หากเดินเข้ามาก็ต้องให้ความเคารพต่อสถานที่เช่นเดิมด้วยการถอดรองเท้า ถุงเท้า
สำหรับฉันสถานที่ต่างๆที่ได้พบจึงไม่สำคัญเท่ากับการได้พบเห็นวิถีชิวิตของผู้คนรอบๆ ที่มีต่อสถานที่ของเขา และความมั่นใจได้ว่านี่คืออีกแหล่งของประเพณีวัฒนธรรมจากอดีตที่ยังไม่เสื่อมคลาย และฉันได้มาถึงพม่าเมืองเก่าที่เต็มไปด้วยประเพณีวัฒนธรรมนั้น เมืองอีกแห่งหนึ่งที่ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางของศาสนาพุทธของโลก
เราจบทริปนั่งรถกระโดดขึ้น กระโดดลงไปดูวัดและเจดีย์ทั่วเมืองเก่า เป็น Temple hopping กรุงเก่าด้วยความเหนื่อยล้าพอควร ยังดีที่อากาศต้นปีแบบนี้มีลมเย็นๆระหว่างนั่งรถ และเมื่อนั่งชมวิวกันในร่ม มีโอกาสได้นั่งพัก นั่งเล่นในบริเวณวัดบ้าง วิ่งเล่นกับเด็กๆ ก่อนที่เราสองคนจะไปปิดท้ายกันด้วยเบียร์พม่าเย็นๆที่ร้านบาร์บีคิวข้างๆที่พัก

ถึงจะดูเหมือนเป็นทริปที่ดูแต่วัดเก่า ซากเจดีย์ แต่ฉันก็แนะนำที่จะให้เพิ่มโปรแกรมนี้ เพื่อจะได้รู้จักมัณฑะเลย์ได้ทั่ว วัดแต่ละแห่งก็มีจุดเด่น ความสวยงามที่แตกต่างกัน ที่สำคัญการได้เดินทางไปยังเมืองเก่าคล้ายเราได้เห็นภาพของกาลเวลาที่ไหลวนอยู่รอบตัวเราระหว่างการนั่งรถชมไปเรื่อย มากกว่าสถานที่ที่เราไปถึง
Leave a Reply