ตั้งใจไปเที่ยว 3 ประเทศในยุโรปที่มีพื้นที่ติดๆกัน มีชื่อเรียกเฉพาะตัวว่า Benelux แต่เกิดเหตุขัดข้อง จึงต้องลดทริปการเดินทางเหลือแค่ Be(lgium)เบลเยี่ยม แต่ก็ได้เห็นหลากหลายมุมของอีกหนึ่งประเทศในยุโรป ซึ่งเจริญเติบโตมาในสมัยยุคกลาง มีทั้งความสวยเก๋ เท่ห์ และโรแมนติคผสมผสานกันอย่างลงตัว ไปเดินเล่นสบายๆแกล้มไปด้วยเฟรนซ์ฟราย แล้วต่อด้วยของหวานเลื่องชื่ออย่างวาฟเฟิล ตบท้ายด้วยเบียร์ดีๆ ซักกระป๋อง แค่เนี้ยก็อิ่มแล้วค่ะ สำหรับ B E L G I U M
+ Grand Place หนึ่งในจตุรัสที่สวยที่สุดในยุโรป
เมื่อมาถึงบรัสเซลส์เมืองหลวงของเบลเยี่ยม ปัจจุบันถูกจัดให้เป็นเมืองหลวงของยุโรปด้วยค่ะ สถานที่แรกที่นักท่องเที่ยวต้องนึกถึงก็คือจตุรัสกรองปลาสต์(Grand Place) ค่ะ ถูกกล่าวขวัญว่าเป็นหนึ่งในจตุรัสที่สวยที่สุดในยุโรป ซึ่งก็สวยสมคำเล่ารือ ลานกว้างล้อมรอบด้วยอาคารบ้านเรือนในยุคกลาง ซึ่งปัจจุบันถูกดัดแปลงเป็นร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร ร้านขายช็อกโกแลต ในบางวันจะมีการแสดงดนตรีสดๆ ยังไม่นับรวมการแสดงเปิดหมวกของศิลปินอิสระข้างถนน บ้างก็มานั่งวาดรูป ร้องเพลง ยิ่งทำให้บรรยากาศคึกคัก และมีชีวิตชีวา คู่รักหลายคู่ต่างก็อินกับบรรยากาศรอบข้างแลกจูบกันอย่างไม่อายสายตาผู้คน แต่นั่นก็เพิ่มความโรแมนติกให้กับจตุรัสแห่งนี้ไม่น้อย การมาเที่ยวยุโรปสิ่งหนึ่งที่ต้องระมัดระวังอย่างมากจนแทบจะทำให้การเที่ยวหมดสนุกก็คือต้องระมัดระวังพวกล้วงกระเป๋าที่คอยจ้องนักท่องเที่ยวอย่างพวกเราตาเป็นมัน ไม่น่าเชื่อว่าประเทศที่เจริญอย่างในยุโรปกลับไม่สามารถจัดการกับกลุ่มมิจฉาชีพพวกนี้ได้ บางเหตุการณ์เห็นกันต่อหน้าต่อตา แต่กลับได้รับการละเลยจากเจ้าหน้าที่ และมีระบบการรักษาความปลอดภัยที่หละหลวมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานีรถไฟ และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆต่างๆ
+ วาฟเฟิลเบลเยี่ยมแสนอร่อย
ไปถึงถิ่นไม่ลองก็น่าเสียดายแย่ สำหรับวาฟเฟิลของเบลเยี่ยม ทั้งยังเป็นขนมไม่กี่อย่างในโลกที่ฉันชอบเอาซะมากๆด้วย ฉันเลือกวาฟเฟิลราดช็อกโกแลต
แค่คำแรกเท่านั้นล่ะค่ะ เนื้อวาฟเฟิลร้อนๆ ราดด้วยช็อกโกแลตรสชาติขมหวานกำลังดี อร่อยสุดๆ ร้านในภาพอยู่ใกล้ๆกับรูปปั้น Meneken Pis เด็กชายที่ยืนฉี่ สัญญลักษณ์ของที่นั่นเค้า ร้านวาฟเฟิลเนี่ยหาได้ทั่วไป แทบทุกหัวมุมถนน โดยเฉพาะย่านที่นักท่องเที่ยวเยอะๆ แต่ยังไงก็ดูๆร้านหน่อยนะคะ หาร้านที่ขายดีๆ ทำใหม่ๆ เพราะมีอยู่ครั้งนึงดั๊นไปซื้อร้านที่ไม่มีคน วาฟเฟิลแห้งๆ ไม่ร้อนอีกต่างหาก ไม่อร่อยเอาซะเลย เสียชือเบลเยี่ยมวาฟเฟิลหมด 🙁
In This Post
+ เลาะริมคลอง ล่องเรือที่Brugge
เมืองเล็กๆที่ไม่ธรรมดาเมืองนี้ยังคงกลิ่นอายแห่งยุคกลางเมื่อสมัยยังคงรุ่งเรือง บรูจจ์เคยขึ้นอันดับเมืองหลวงแห่งแคว้นแฟลนเดอร์ เคยเป็นศูนย์กลางการค้าเนื่องจากสมัยก่อนการเดินทางทางเรือเพื่อค้าขายเป็นเส้นทางหลัก บรูจจ์ซึ่งเป็นเมืองบนเส้นทางการค้าสำคัญของยุโรปเหนือจึงมีความรุ่งเรืองจนได้ชื่อเวนิซแห่งยุโรปเหนือ ก่อนเส้นทางการค้าจะเปลี่ยนแปลงไปสู่เส้นทางอื่น บรูจจ์ยังคงวิถีชีวิต ความน่ารักเรียบง่าย เหมือนดั่งเมืองในนิยายไม่เปลี่ยนแปลง มาถึงบรูจจ์ทั้งที ฉันเลือกนั่งเรือชมคลองที่ลัดเลาะเหมือนเส้นเลือดใหญ่ของเมืองนี้ ได้เห็นภาพความงามของเมืองจากบนเรือที่มีไว้คอยบริการแทบทุกระยะตลอดเส้นทางลำคลอง ผู้คนที่ขี่จักรยานผ่านบ้านหลังคาสูงแหลมสีส้ม เห็นร้านกาแฟเล็กๆ กับคู่รักที่นั่งคลอเคลียอยู่ตรงที่นั่งริมน้ำ และคอยโบกไม้ โบกมือให้กับคนที่นั่งชมวิวบนราวสะพาน ก่อนจะออกเดินชมเมืองตามตรอกซอกซอย และขึ้นบันไดสามร้อยกว่าขั้นเพื่อชมวิวพาโนรามาของบรูจจ์ที่งดงามของบรูจจ์
+การเดินทางในกลุ่มประเทศ Benelux
เดินทางระหว่างประเทศ
ตั๋วส่วนใหญ่ที่ขายซื้อจะเป็นตั๋วชั้นสองนะคะ ตั๋วส่วนใหญ่จะไม่ระบุว่าต้องขึ้นวันไหน หรือระบุที่นั่ง เช่นหาเราไปซื้อตั๋วจากสนามบิน Schiphol – Brussels ก็ระบุว่าซื้อตั๋วไป Brussels ตั๋วนั้นสามารถใช้ได้มีอายุประมาณ 90 วัน เมื่อได้ตั๋วมาก็ไปเช็คดูที่จอบอกสถานีปลายทาง และระบุชานชาลาที่จะต้องขึ้น เวลาที่รถจะออก และหมายเลขรถ จากนั้นก็เดินตรงไปรอขึ้นรถไฟตรงชานชาลาที่ระบุ รอขบวนที่เราจะขึ้นได้เลยค่ะ ระหว่างทางจะมีนายตรวจมาตรวจตั๋ว ดังนั้นห้ามเบี้ยวขึ้นฟรีเด็ดขาดค่ะ เสียค่าปรับกันอานเลยค่ะ นายตรวจเค้ามีเครื่องรูดบัตรพร้อมนะคะ จะอ้างว่าไม่มีเงินไม่ได้
เดินทางระหว่างเมือง
เนื่องจากส่วนใหญ่เที่ยวในเบลเยี่ยม นั่งรถไฟไปเมืองโน้น เมืองนี้ จึงซื้อตั๋วแบบ Rail card ซึ่งเป็นตั๋วเดินทางภายในประเทศได้ 10 เที่ยว ราคา 73 euroใช้ได้ 1 ปี สามารถใช้ร่วมกับเพื่อนได้ในบัตร 1 ใบ เช่นเดินทางกับเพื่อน เท่ากับว่าใช้คนละ 5 เที่ยว ตอนขึ้นก็ไปดูจอที่ระบุปลายทางที่เราจะไป ชานชาลา เวลา หมายเลขขบวนรถไฟ แล้วก็เขียนชื่อของเรา กับเพื่อนในตั๋ว ซึ่งจะมีช่องทั้งหมด 10 ช่อง พอนายตรวจมาตรวจก็ส่งใบนี้ให้เค้าตรวจ
สำหรับบัตร Rail Card นี้สะดวกดีค่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องดูว่าเราจะใช้ครบรึเปล่า แล้วก็ลองเช็คกับราคาต่อเที่ยว ว่ารวมแล้วจะคุ้มหรือไม่ สำหรับตัดสินใจอีกทีนะคะ
เดินทางภายในเมือง
ถ้าในเมืองใหญ่ๆ มักจะมีการเดินทางหลากหลายแบบทั้งรถ metro หรือ tram หากขึ้นรถก็สามารถซื้อตั๋วที่คนขับได้เลยโดยบอกปลายทางเค้า แล้วจ่ายเงินกับพนักงานขับรถ ส่วน metro หรือ tram มีช่องจำหน่ายตั๋วก่อนเข้า หรือซื้อกับเครื่องขายตั๋วอัตโนมัต แล้วนำตั๋วมา validate กับเครื่อง ก่อนเดินเข้าไปในชานชาลา แต่ปัญหาที่สร้างความสับสนมากๆ คือ ช่องทางเข้าไม่ได้เข้มงวด หากเราไม่ validate ตั๋วก็เข้าไปได้เช่นกัน ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีนายตรวจมาคอยตรวจตั๋วเหมือนรถไฟที่วิ่งระหว่างเมือง หรือระหว่างประเทศ แต่ก็มีนะคะ ถ้าใครคิดเบี้ยว ขึ้นฟรี แล้วไปเจอนายตรวจเข้า ก็ต้องโดนปรับเช่นกัน
เมื่อตอนไปถึง brussels อุตสาห์จะซื้อตั๋ว แต่พอเข้าไปถามเจ้าหน้าที่ ดั๊นบอกเราว่าไม่ต้องซื้อ ให้เดินไปขึ้นเลย ฟรี เราก็เฮ้ย จะดีเหรอ แต่ก็เชื่อ เสี่ยงเอา แล้วตอนที่ขึ้นรถเมล์ อุตสาห์เดินไปวื้อตั๋วที่พขร. เค้ายังทำหน้างง งง แต่ก็หยิบตั๋วมาขายให้เรา สงสัยจะไม่ค่อยมีคนซื้อแฮะ เพราะถ้าเป็นคนเบลเยี่ยมเอง จะมีตั๋วเดือน ตั๋วปี เรายังเห็นบางคนน่าจะเป็นนักท่องเที่ยวเหมือนเรา เดินขึ้นมานั่งฟรีๆ ไม่ซื้อตั๋วก็มี ดังนั้น งานนี้ตัดสินใจดูสถานการณ์เอากันเองแล้วกัน จะเสี่ยงหรือไม่เสี่ยงดี ขึ้นฟรีก็ประหยัดได้เยอะ แต่ถ้าซื้อตั๋ว ก็นั่งสบายใจดีค่ะ
+นักล้วงกระเป๋า ต้องระวังให้ดีๆ
ทั้งๆที่อ่าน และศึกษามาอย่างดี ว่าให้ระวังนักล้วงกระเป๋า ที่สำคัญตัวเองก็มีประสบการณ์งี่เง่าเจอมาครั้งนึงแล้วที่ปารีส คราวนี้ก็ยังเซ่อซ่าปล่อยให้มือดีมาฉกกระเป๋าเราไปได้อีก เพราะความประมาทและไม่ระมัดระวังเลยต้องนำมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้หลายๆคนที่ไปเที่ยว ไม่หลงพลาดท่าอย่างที่ตัวเองโดนค่ะ
อย่างที่เล่าให้ฟังการเดินทางขึ้นลง รถไฟ รถโดยสาร ในยุโรปส่วนใหญ่ไม่ค่อยเข้มงวดเหมือนบ้านเรา ที่จะเข้าสู่ชานชาลา ต้องตรวจตั๋ว มีตั๋วแน่นอนจึงขึ้นไปรอรถกันได้ แต่ที่นี่ใครๆ ก็ขึ้นได้ เราพลาดดันไปวางกระเป๋า ไว้บน head compartment ด้านบน เพราะคิดว่าขึ้นมาบนรถไฟแล้ว ความระมัดระวังก็เลยน้อยลง หันไปหยิบโน่นนี่ นั่งฟังเพลง หันมาอีกทีกระเป๋าหายไปโลด คาดว่าพวกนี้มันคงตามเรามาตั้งแต่สถานีรถไฟ แล้วเดินตามขึ้นมาเพราะเห็นเป็นนักท่องเที่ยว มีกระเป๋าใบใหญ่หลายใบ พอเห็นเราวางของแล้วเผลอก็คว้าไป แล้วไปลงที่สถานีถัดไป หรือไม่ก็คว้าแล้วเอาลงไปตั้งแต่สถานีแรกนั่นแหละ กว่าเราจะหันไปมอง ของของเราก็หายไปแล้ว
เรื่องที่เกิดขึ้นสาเหตุทั้งหมดเพราะความประมาทอย่างมากของตัวเองแท้ๆ ไม่ต้องโทษใครเลยค่ะ การเดินทางท่องเที่ยวจะต้องมีความระมัดระวัง และไม่ประมาทในทุกๆสถานการณ์ ยิ่งในยุโรปอย่างนี้ไม่น่าเชือว่าประเทศที่เจริญแล้วกลับจัดการกับกลุ่มพวกล้วงกระเป๋าไม่ได้เลย ขนาดฉันขึ้นรถไฟ นั่งบนรถไฟแล้ว ยังเห็นแก็งค์พวกนี้เต็มไปหมด เจ้าหน้าที่ก็เห็น แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากประกาศให้ระมัดระวัง แทนที่จะหาวิธีการหรือมาตรการป้องกันควบคุม หรือปราบปรามให้สิ้นซากไป เห็นอย่างนี้แล้วนึกถึงตอนไปเที่ยวแถวๆ เอเชีย ญี่ปุ่น หรือจีน เรื่องแบบนี้ยังน้อยกว่ามากๆ
+พาสปอร์ตหาย ทำไงดี
เพราะผลพวงจากเหตุการณ์ข้างบน ทำให้เกิดปัญหาใหญ่ที่ไม่คาดว่าจะเกิดขึ้นคือพาสปอร์ตที่อยู่ในกระเป๋าหายไปด้วยค่ะ เลยต้องหาทางติดต่อสถานทูตเพื่อทำพาสปอร์ต ไม่งั้นติดแหง่กอยู่ที่นั่นไม่ได้ออกแน่ๆ
เอกสารที่ใช้ทำพาสปอร์ตชั่วคราว
1. สำเนาทะเบียนบ้าน
2. สำเนาบัตรประชาชน
3. สำเนาพาสปอร์ต
4. ใบแจ้งความ
5. รูปถ่าย 3 ใบ
ติดต่อสถานทูตที่ใกล้ที่สุด ซึ่งฉันติดต่อได้ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เจ้าหน้าที่ใจดีมากๆ ค่ะ ขอบคุณไว้ตรงนี้เลยค่ะ
เอกสาร1-3 สามารถให้ทางบ้านอีเมล์มาให้ได้ หากไม่ได้ถ่ายสำเนามานะคะ ส่วนรูปถ่ายก็มีตู้ถ่ายรูปทั่วไป แต่ฉันซิ่แปลกประหลาด ดันพกรูปติดไปด้วย ทั้งที่ไม่เคยพกไปมาก่อนไม่ว่าไปเที่ยวครั้งไหนๆ ดวงมันคงซวยจริงๆ ส่วนใบแจ้งความก็จากสถานีตำรวจที่เราไปแจ้งความเมื่อโดนขโมยนั่นแหละ เอกสารพร้อมก็นำไปยื่นใช้เวลาทำครึ่งวันก็เรียบร้อยค่ะ แต่ได้เป็นเอกสารชั่วคราว เพื่อใช้เดินทางเข้าประเทศไทยคราวนี้เท่านั้นค่ะ หลังจากกลับมาต้องมาทำพาสปอร์ตใหม่อีกที
หวัดดีค่ะ คุณนิ่มรูปสวย มากๆ เลย อีกครั้งนะ ถ่ายรูปเก่งมากเลย เสียดายไม่ได้ไปเจอกัน เรื่อง ล้วงกระเป๋า เป็นไปได้ งัย สงสัย หน้าตาเป็น นักท่องเที่ยวมั้ง มันขอบเกิดกะนักท่องเที่ยวน่ะเสียใจด้วย ค่ะ คุณนิ่ม ทำเวป เจ๋ง มากเลยอ่ะเจอกัน น๊า
ไม่เป็นไร ถือเป็นประสบการณ์ พาสปอร์ตกับตังค์หายค่ะ
ขอบคุณสำหรับรูปสวยๆ นะค่ะ กำลังต้องการทำรายงานพอดีเลย