หลังจากพักเหนื่อยกันมาแล้ว วันนี้เราเดินทางออกนอกเลห์ไปเที่ยว Nubra Valley กันค่ะ
เป็นเขตชายแดนทางตอนเหนืออีกด้านของอินเดีย ดังนั้นเส้นทางนี้จึงต้องมีใบอนุญาติให้เรียบร้อย
เราสามารถขอรวมกับตอนไปเที่ยวทะเลสาบพันกองได้เลย
เส้นทางวันนี้เราจะผ่านถนนที่สูงที่สุดของโลกที่ Khardung La
มีความสูงประมาณ 5602 เมตร หรือ 18380 ฟุต
เรานัดคนขับรถกันตั้งแต่ตีห้าครึ่ง เนื่องจากเส้นทางค่อนข้างไกล และผ่านเขาสูงชัน
อีกทั้งเราเดินทางแบบ one day trip ซึ่งส่วนใหญ่คนที่ไปเที่ยว Nubra valley เค้าจะไปค้างคืนกันอย่างน้อย 1 คืน เพื่อไม่ต้องเร่งรีบเกินไป และได้มีเวลาสัมผัสธรรมชาติรอบนอกเลห์กันด้วย
แต่ไม่เป็นไรค่ะแผนนี้ก็ทำให้เห็นยามเช้าของเมืองระหว่างทางที่นั่งรถ
และเช้านี้ก็เป็นเช้าที่สดใสอีกวันหนึ่งด้วย
แสงแดดที่ส่องผ่านหมู่เมฆลงมาบนทิวเขาและตัวเมืองด้านล่างในแต่ละวัน
เป็นความแปลกตาที่ไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน ไปจนขึ้นเขาสูงที่หนาวเหน็บเพราะหิมะน้ำแข็งที่ปกคลุมด้านบน
ไม่ว่าเดินทางอย่างนี้กี่ครั้งกี่วัน ฉันก็ยังทึ่งกับความเก่งของมนุษย์เรา
ในยามที่นึกถึงว่าเมื่อเช้ายังอยู่ด้านล่าง ที่มองเห็นยอดเขาสูงใหญ่ที่มีหิมะปกคลุมอยู่แป๊บๆ
แต่แค่ไม่กี่ชั่วโมงเราก็มายืนอยู่ด้านบนที่มองลงไปด้านล่างเมื่อเช้าเหลือแค่เมืองเล็กนิดเดียว
ถ้าเป็นสมัยก่อนเดินทางกันเป็นวันๆ กว่าจะถึง แถมยังต้องฝ่าฟันกับอากาศที่หนาวเย็นอีก
เราให้คนขับนำใบpermit ไปยื่นในจุดแรกที่ชื่อว่า south Pullu และเดินทางกันต่ออีกประมาณชั่วโมงกว่าๆ พวกเราก็มาถึงจุดที่ถนนผ่านสูงที่สุดในโลก Khadung La
เส้นทางบนนี้เป็นเขตทหารที่คอยเฝ้าชายแดน เราจึงได้ยินเสียงซ้อมยิงปืนเป็นระยะ
พอผ่านมาซักพักก็เห็นทหารใส่ชุดขาวเดินผ่านมากลุ่มใหญ่
ทหารใส่เสื้อสีขาวกางเกงลายพรางสีเขียว รองเท้าสีขาว แว่นตากรอบสีขาว เป็นชุดที่เท่ห์ ยิ่งเดินมาเป็นกลุ่มใหญ่ยิ่งดูดีน่าไปถ่ายรูปด้วย พวกเราก็เลยขอให้พี่คนขับช่วยจอดรถ แล้วไม่รอช้าขอไปถ่ายรูปกับกองทหารกันซะเลย
สำหรับที่ Nubra Valley จะมีทางแยกไปเที่ยวได้ 2 ทาง ทางหนึ่งไปเที่ยวหมู่บ้าน Diskit และ Hunder อีกทางไป Sumur และ Panamik
เส้นทางของเราไปทาง Diskit และ Hunder กันค่ะ
ผ่านจาก Khardung La ก็จะถึงจุดตรวจสำคัญอีกแห่งคือที่แคมป์ทหาร North Pullu
หลังจากนั้นเรานั่งรถผ่านเส้นทางลงเขามายังที่ราบด้านล่าง ที่ค่อนข้างแห้งแล้งและเต็มไปด้วยฝุ่น
เลียบไปตามแม่น้ำ Shyok จนถึง Diskit
พวกเราเข้าไปเที่ยววัดกันอีกแล้วค่ะ Diskit Gompa เป็นวัดที่อยู่บนเขา แต่รถวิ่งขึ้นไปส่งด้านบนได้
จากนั้นก็เดินขึ้นไปบนวัดกัน ลักษณะของวัดก็เหมือนกับที่เราเห็นมาแทบทุกวัด
จะมีห้องสวดมนต์ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของวัด และแบ่งเป็นห้องต่างๆ
มีพระพุทธรูปและพระคัมภีร์จัดเก็บอยู่ด้านในแต่ละห้อง
ตามประวัติวัดนี้สร้างขึ้นเมื่อปี 1420 เป็นวัดที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดในเขตนูบร้า
มีพระประจำอยู่ประมาณ 120 รูป แต่วันนั้นที่ไปเห็นอยู่แค่ 2-3 รูปเอง ไม่รู้ไปอยู่ไหนกันหมด
ส่วนที่เหลือน่าจะอยู่ในที่พัก หรือสวดมนต์อยู่ ที่เรียกว่า Photang (official residence)
ตามที่อ่านหนังสือมา เค้าบอกว่าถ้าไปวัดตอนเช้าประมาณ 7 โมง จะได้เห็นบรรยากาศการสวดมนต์ พระทั้งหมดจะมารวมกัน แต่พวกเราก็ไม่เค้ย ไม่เคยไปวัดได้เช้าขนาดนั้นซักที
วัดแต่ละแห่งจะเปิดตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตกดิน
ส่วนถ้าไปแล้ววัดปิด ก็สามารถเดินหาให้พระมาช่วยเปิดห้องแต่ละห้องให้เราดูได้ค่ะ
ด้านล่างตรงเชิงเขาของวัด Diskit มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่
จากนั้นเรามุ่งตรงต่อไปยังอีกหมู่บ้าน คือ hunder
ก่อนทางเข้าหมู่บ้านที่นี่จะเห็นเป็นเนินทราย (คล้ายทะเลทรายแหละ) ซึ่งที่นี่เค้ามีเลี้ยงอูฐสองหนอกไว้บริการนักท่องเที่ยว แต่เราไปถึงกันช่วงเที่ยงซึ่งเป็นเวลาพักของอูฐ ก็เลยอดไม่ได้ขี่กันค่ะเสียดายเหมือนกันเพราะอูฐสองหนอกเนี่ยเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์เส้นทางสายไหม ไม่ได้หาขี่กันง่ายๆซะด้วย
เมื่ออดขี่อูฐ ก็เลยหันมาถ่ายรูปกับทะเลทรายกันซะเลย เก็บภาพสวยๆไว้เป็นที่ระลึกสำหรับที่นี่แทน
ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อผ่านทะเลทรายแห้งแล้งเข้าไปจะเจอหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยต้นไม้สดชื่น มีเสียงน้ำจากลำธารไหลไปรอบๆหมู่บ้าน เห็นแล้วก็รู้สึกว่าที่นี่น่ามานอนค้างคืนจริงๆ บรรยากาศคงสดชื่นไม่เลว พวกเราได้วนรอบๆหมู่บ้าน เพื่อเข้ามาหาร้านอาหารกันเท่านั้นแต่น่าเสียดายตอนกลางวันร้านอาหารที่ดูจะเหมาะกับพวกเราส่วนใหญ่ไม่เปิด แม้แต่ในเกสเฮ้าส์ก็ไม่เปิดร้านอาหารให้บริการกัน เราจึงต้องกลับมาหาทานกันที่ North Pulluแทน
ก่อนกลับไปก็เลยไปอีกนิดค่ะแวะไปดู Hunder Gompa ที่นี่เป็นวัดเล็กๆ เราไม่ได้เข้าไปด้านใน แค่ถ่ายรูปด้านนอกและบริเวณนี้น่าจะเป็นจุดสุดท้ายที่จะให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวได้หากพ้นสะพานด้านหน้าที่เห็น ก็ไม่อนุญาติให้นักท่องเที่ยวผ่านเข้าไปแล้วด้วยค่ะ
เราย้อนกลับมาทานอาหารที่ North Pullu เป็นร้านอาหารใหญ่มีนักท่องเที่ยวทั้งต่างชาติและอินเดีย เข้ามาทานกันหลายโต๊ะ อาหารของที่นี่ส่วนใหญ่แล้วเราจะสั่งกันธรรมดาก็คือข้าวผัด บะหมี่ผัด แต่อาหารเค้าจะช้ามาก ทำทีละโต๊ะ ฉันเลยตั้งข้อสังเกตไม่รู้ว่าถูกหรือผิดนะคะว่าที่เค้าทำอาหารช้าเนี่ย สงสัยเพราะว่าความสูงสูงกว่าจะถึงจุดเดือดใช้เวลานานกว่าจุดเดือดในที่ที่ต่ำกว่า ก็เลยใช้เวลาทำอาหารนานกว่าปกติ (ของเรา)ขนาดสั่งน้ำร้อนมา ยังช้าเลยค่ะ
ขากลับเราใช้เส้นทางเดิมเช่นเดียวกับทางขึ้นมา ก็เลยพากันหลับๆ ตื่นๆ บนเส้นทางนี้เราได้เห็นกลุ่มนักขี่มอเตอร์ไซค์กันหลายกลุ่มเพราะที่นี่เป็นเส้นทางที่สูงที่สุดที่มอเตอร์ไซค์จะมาได้มั้งคะก็เลยเป็นความท้าทายของพวกเค้ากัน
บางกลุ่มก็เห็นว่ามาจากเดลี บ้างก็ว่าจะขี่ไปศรีนาการ์กันเลยดูแล้วก็น่าสนุกไปกับพวกเค้านะคะ น่าอิจฉาที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ และยังมีเพื่อนที่รักชอบเป็นกลุ่มในสิ่งเดียวกัน ได้เดินทางไปด้วยกัน ฉันเองก็คิดอยากมีเวลาเช่นนี้นานๆ เป็นเดือนเพื่อได้เดินทางไปในหลายแห่งในโลกนี้ แต่ได้มาเที่ยวมาเห็นแค่นี้ก็คงต้องพอใจและสุขใจหละค่ะ เพราะแค่นี้ก็ฝืนความรู้สึกความเป็นห่วงของคนที่บ้าน ย้อนนึกไปว่าเมื่อก่อนแทบไม่เคยเที่ยว โดนห้าม โดนบ่น แต่ก็ดื้อมาจนเค้าชิน ปล่อยให้มาขนาดนี้ก็ดีมากมายแล้ว และปัจจัยสำคัญที่เป็นอุปสรรคใหญ่หลวงก็คือเงิน และเวลานี่ละซิที่ลำบากที่ซู้ด…
Leave a Reply